บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า กามโยคยุตฺโต ความว่า ราคะที่ประกอบด้วยเบญจกามคุณ ชื่อว่ากามโยคะ. บุคคลผู้ประกอบด้วยกามโยคะนั้น ชื่อว่า กามโยคยุตฺโต. บทว่า กามโยคยุตฺโต นี้ เป็นชื่อของกามราคะที่ยังตัดไม่ขาดแล้ว. ความกำหนัดด้วยอำนาจแห่งความพอใจในรูปภพและอรูปภพทั้งหลาย ชื่อว่า อธิบายว่า ยังละภวราคะไม่ได้. บทว่า อาคามี ความว่า บุคคลแม้จะดำรงอยู่ในพรหมโลก ก็ยังมาสู่มนุษยโลกนี้เป็นปกติด้วยสามารถแห่งการถือปฏิสนธิ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่ามาสู่ความเป็นอย่างนี้ ดังนี้. อธิบายว่า มีอันต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กล่าวคืออัตภาพแห่งมนุษย์เป็นธรรมดา ได้แก่ แม้อสุภฌาน ก็ชื่อว่า กามโยควิสํโยโค ในบทว่า กามโยควิสํยุตฺโต นี้ อนาคามิ บทว่า อนาคามี ได้แก่ พระอริยบุคคลผู้ไม่มาสู่กามโลกด้วยสามารถแห่งการถือปฏิสนธิ. อธิบายว่า พระอนาคามีบุคคลชื่อว่าไม่ต้องมาสู่ความเป็นอย่างนี้ เพราะสำเร็จความเป็นผู้ไม่มีสังโยชน์ในภายใน ด้วยการเพิกถอนเสียได้ซึ่งโอรัม ก็ภวโยคะอันพระอริยบุคคลใดละได้แล้วโดยไม่มีส่วนเหลือ แม้กิเลสที่เหลือมีอวิชชา ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอริยบุลคลผู้พรากแล้วจากกามโยคะ พรากแล้วจากภวโยคะ เป็นพระอรหันตขีณาสพ ดังนี้. ก็ในอธิการนี้ พึงเห็นว่า พระอนาคามีผู้พรากแล้วจากกามโยคะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้เพื่อตรัสสรรเสริญตติยมรรค ดุจการละสุขทุกข์ โสมนัสโทมนัสของจตุตถฌาน (และ พึงทราบวินิจฉัยในพระคาถาทั้งหลายต่อไป บทว่า อุภยํ ความว่า โดยส่วนสอง อธิบายว่า ประกอบด้วยกามโยคะและภวโยคะทั้งสอง. บทว่า สตฺตา คจฺฉนฺติ สํสารํ ความว่า สัตว์ ๓ ประเภทเหล่านี้ คือปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามียังต้องไปคือท่องเที่ยวไป เพราะยังละกามโยคะและภวโยคะไม่ได้ ต่อจากนั้นก็จะเป็นผู้ไปสู่ชาติและมรณะ. ในบรรดาพระโสดาบันบุคคล ๓ จำพวก คือ เอกพีพี โกลังโกละ สัตตักขัตตุปรมะเหล่านี้ พระโสดาบันผู้มีอินทรีย์อ่อนกว่าเขาทั้งหมด ชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมะ ท่านย่อมไม่เกิดในภพที่ ๘ แต่ยังต้องท่องที่ยวไปด้วยสามารถแห่งการเกิดของตนที่ธรรมดากำหนดไว้ พระโสดาบันแม้นอกนี้ก็เหมือนกัน. แม้บรรดาพระสกทาคามีทั้งหลาย พระสกทาคามีใดบรรลุสกทาคามิมรรคในโลกนี้แล้วบังเกิดในเทวโลก มาบังเกิดในโลกนี้อีก พระสกทาคามีนั้นชื่อว่าท่องเที่ยวด้วยสามารถแห่งชาติที่ตนกำหนดแล้ว แต่พระสกทาคามีบุคคลเหล่าใด ย่อมบังเกิดในเทวโลกนั้นๆ แหละ หรือในมนุษยโลกนั่นเอง โดยเว้นโวมิสสกนัย พระสกทาคามีเหล่านั้นยังต้องท่องเที่ยวไปอยู่นั่นเอง เพราะยังต้องไปบังเกิดบ่อยๆ จนกว่าอินทรีย์จะแก่กล้า โดยได้บรรลุมรรคชั้นสูงๆ ขึ้นไป. แต่ในปุถุชนเรื่องที่จะต้องกล่าวถึงไม่มีเลย เพราะสังโยชน์ในภพทั้งปวงยังไม่หมดสิ้น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายผู้ประกอบแล้วด้วยกามโยคะ และภวโยคะ ทั้งสองย่อมไปสู่สงสาร ซึ่งมีปกติถึง ความเกิดและความตาย ดังนี้. บทว่า กาเม ปหนฺตฺวาน ความว่า ละกิเลสกามทั้งหลายกล่าวคือกามราคะ ด้วยพระอนาคามิมรรค. บทว่า ฉินฺนสํสยา ความว่า มีความสงสัยอันตัดขาดแล้วด้วยดี ก็แลการตัดความสงสัยนั่นแล จะมีได้ก็ด้วยพระโสดาปัตติมรรคเท่านั้น ก็เพื่อจะทรงสรรเสริญมรรคที่ ๔ จึงตรัสไว้อย่างนี้ อธิบายว่า พระอรหันต์ทั้งหลายทรงประสงค์เอาว่า ผู้ตัดความสงสัยได้แล้วในพระคาถานี้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ขีณมานปุนพฺภวา มี ก็ในบทว่า ขีณมานปุนพฺภวา นี้ กิเลสอันมรรคที่ ๔ พึงฆ่าทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาแล้วด้วยมานศัพท์ หรือด้วยสามารถแห่งลักษณะ เพราะกิเลสมีอรรถอย่างเดียวกับมานะนั้น. ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วโดยที่พระขีณาสพมีอาสวะสิ้นแล้ว อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นอันพระองค์ตรัสแล้วโดยที่พระขีณาสพมีภพใหม่สิ้นแล้ว. คำที่เหลือรู้ได้ง่ายทั้งนั้น. จบอรรถกถากามสูตรที่ ๗ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ติกนิบาต ปัญจมวรรค กามสูตร จบ. |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น